ตั้งแกน
"ว่ากันว่าวิชากระบี่ต้องฝึกฝนกันชั่วชีวิต จิตใจก็เช่นเดียวกัน การที่จะทันและใช้งานพลังภายในที่มีอยู่ได้ ต้องผ่านการขัดเกลาฝึกฝนตลอดเวลา"
พวกเราเดินทางมายังค่ายเยาวชนเชียงดาว สถานที่ซึ่งมองเห็นดอยหลวงเชียงดาว อย่างชัดเจนหากแต่ดอยแห่งนี้ขี้อายเสียหน่อยหากได้เห็นก็จะเห็นไม่นานแล้วเธอก็จะหลบซ้อนอยู่หลังเมฆ หมอกอีกครั้ง เราตั้งธีมในครั้งนี้ว่าเป็นการเยียวยา หลายคนมีจุดเปลี่ยนในชีวิตเช่นออกจากงานเดิม เป็นเพราะค่ายนี้ทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้นจึงเริ่มเดินทางต่อกันหลายคน หรือบางคนเพิ่งเรียนจบใหม่กำลังอยู่ในช่วงที่ชีวิตยังไม่แน่นอน การตั้งแกน ตั้งหลักใหม่เป็นสิ่งที่พวกเราหลายคนในที่นี้ได้กลับไปจากค่าย 5 วัน 4 คืนในที่แห่งนี้
การเดินป่านิเวศภาวนา
การอยู่ที่นี้เราได้ยินเสียงสายฝนแทบจะทั้งวัน เสียงแมลง นกและสายลม ผมสังเกตตัวเองจิตใจเข้าสู่สภาวะเสถียรได้อย่างรวดเร็ว หากสติหลุดเมื่อไรผมจะหันหน้าไปมองสีเขียวของป่าและมองก้อนเมฆที่เคลื่อนผ่านภูเขาและท้องฟ้า ฟังเสียงหยดน้ำฝนและมองมันเริงระบำตกกระทบผืนดิน เอาเท้าไปสัมผัสหญ้าที่กำลังชุ่มน้ำและแช่ไปกับสายน้ำที่ไหลจากภูเขาที่เหลือจากป่ากักเก็บน้ำไว้ มองดูแมลงแปลกตาที่เห็นเพียงในหนังสือสารานุกรมภาพสี่สีตอนวัยเด็ก
พี่นิคม ลุ่มแม่น้ำปิงเป็นคนพาพวกเราเดินเข้าไปยังเส้นทางธรรมชาติ ไปพร้อมกับเมล็ดมะค่าที่หน้าตาเหมือนยางลบสมัยก่อนที่มีสองสีลบได้ทั้งดินสอและปากกา เพื่อนำไปปลูกในป่าระหว่างทางเป็นการอนุรักษ์ป่าด้วยวิธีดั่งเดิม เส้นทางที่พวกเราเลือกเดินในครั้งนี้เป็นเส้นทางเรียบแม่น้ำ ที่จะพาพวกเราเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
ผมชอบการเดินป่าเพราะเป็นการได้กลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง และเพิ่มสัมผัสของตัวเองที่จะต้องมองรอบตัวอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็วางใจในธรรมชาติว่าเขาจะไม่ทำร้ายตัวเรา ในสภาวะดังกล่าวเราเคารพนอบน้อมต่อพลังของธรรมชาติ สายน้ำจัดเรียงก้อนหินและเติมลมหายใจกลับสู่น้ำ ป่าไม้โอบอุ้มน้ำฝนไว้กว่าร้อยละแปดสิบ สิ่งมีชีวิตที่เล็กเกินตาจะมองเห็นอาศัยอยู่บนก้อนหินเล็กก่อนหนึ่งจำนวนหลายล้านชีวิต และส่งผลต่อระบบนี้เวศน์แห่งนี้ มีเพียงคนเท่านั้นที่แปลกปลอมและไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อป่าแห่งนี้ นั้นทำให้ทุกครั้งที่เดินป่าเราจะเคารพหินทุกก้อน น้ำสุดหยด ต้นไม้ทุกต้นซึ่งเราไม่อาจมีพลังที่จะสรรสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้
สิ่งที่กังวลใจเหมือนจะถูกโอบอุ้มไว้โดยธรรมชาติ เพื่อปล่อยให้ตัวเราสถิตอยู่กับก้าวเดินแต่ละก้าว ทุกวินาทีคือการเรียนรู้ใหม่ ความรู้ไม่ได้เกิดจากมนุษย์มันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว และรอคอยให้พวกเราได้เรียนรู้ ชาวนวาโฮ (Navajo) ปราชญ์อินเดียนแดงท่านหนึ่งเคยเล่าเรื่องนี้ไว้ให้ผมฟัง หากเราเคารพธรรมชาติ ธรรมชาติจะเปิดให้เราได้เรียนรู้ ในทุกเม็ดทราย หยดน้ำและสายลม จงวางใจและเปิดใจเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน พี่นิคมเล่าว่ามนุษย์สมัยนี้ไม่สังเกตเห็นว่าโลกกำลังร่ำไห้ การร่ำไห้ของโลกนั้นแสดงออกผ่านสัตว์น้ำที่ตายเพราะขยะพลาสติก ผืนดินที่เสื่อมโทรม น้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายอย่างรวดเร็ว
การละคร
พี่ก๋วยและพี่กอฟจากมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) พาพวกเราเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรสและการรับสัมผัสทางกาย ผ่านกระบวนการละคร ตอนเราเรียนหนังสือประสาทสัมผัสที่เราใช้มากที่สุดคือตาและหู ใช้ความคิดในการวิเคราะห์และจดจำ แต่เชื่อไหมคนเราจดจำเรื่องราวได้จากประสาทสัมผัสที่เหลือ หากแต่เราไม่ได้ใช้มันเพื่อการเรียนรู้ เราสามารถจดจำสัมผัสของมือคนรักได้เสมอ เราสามารถใช้กลิ่นในการย้อนระลึกไปถึงอดีตที่สวยงาม เพราะมนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสเหล่านี้ในการอยู่รอดมาสามล้านปีพวกเราอยู่รอดเพราะสังคมที่ดูแลกันและกัน ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวฉัน(I) แต่ยังมีเธอ(You) และพวกเรา(We) ซึ่งทั้งหมดถูกร้อยเรียงการด้วยเส้นที่เรียกว่าความเชือมโยง(Connect) การเชื่อมโยงเป็นทักษะหรือสิ่งที่สำคัญมากของกระบวนกร ผมมีปัญหาเรื่องนี้พอสมควร มองย้อนกลับไปตอนเป็นครูและเป็นคนนำกระบวนการบ้างก็พบว่าทำได้บ้างทำไม่ได้บ้าง เลยถามว่าควรจะทำอย่างไร พี่ก๋วยก็ให้คำตอบว่าวางเป้าหมายของเราลง และฟังผู้เข้าร่วม การฟังมีสามระดับ 1) ฟังเพื่อตนเอง 2) ฟังเพื่อคู่สนทนา 3) ฟังเพื่อกลุ่ม
ถ้าผมจะเติมเรื่องที่ว่าทำอย่างไรให้เราเชื่อมโยงกับคนได้มากขึ้น คือการเปิดสัมผัสเลย การที่เราจะเปิดได้นั้นสภาวะผ่อนคลายเป็นสิ่งที่ช่วยได้ จะพบว่าถ้าเราอยู่ในธรรมชาติและวางงานทั้งหมดลง สภาวะเชื่อมต่อจะเกิดขึ้นได้ไวมาก มือถือเป็นตัวที่ขัดขวางเราไม่ให้เกิดการเชื่อมโยงได้โดยง่าย กลับมาฟังเพื่อคู่สนทนา คนเรามีหนึ่งปาก สองหู เราควรจะใช้สัดส่วนตามนั้นอาจารย์ท่านหนึ่ง(ในหนังสือ)เคยสอนผมไว้
พี่ก๋วยพาพวกเราเล่นกิจกรรมหลับตาสัมผัสใบหน้าเพื่อน และลองเดินหาเพื่อนโดยหลับตาอยู่และไม่ให้ใช้เสียง ผมพบเลยว่าในชั่วขณะนั้นการเรียนรู้ใหม่เกิดขึ้น การจดจำโดยใช้ดวงตาให้ข้อมูลที่แตกต่างไปจากสัมผัสของฝ่ามือ
ไทเก๊ก
พี่อ้วนเข้ามาด้วยบรรยากาศสบายเป็นกันเองอย่างมาก เริ่มต้นบอกว่าถ้าใครเบื่อจะเดินออกไปเลยก็ได้ และบอกอีกว่าตัวเขาเองก็อาจจะแป๊กอยู่บ้าง สิ่งที่เอามาสอนพวกเราในวันนี้เป็นการนำไทเก๊ก มาประยุกค์ใช้กับหลักปรัญชาในการใช้ชีวิต เพื่อให้พวกเราทุกคนพร้อมตั้งแกน และเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้"ตั้งแกน" คืออะไร? เราพูดถึงเรื่องตั้งแกนหลายครั้งแล้วก่อนจะมาถึงวันนี้ การอธิบายของพี่อ้วนจัดกิจกรรมผ่านการใช้ร่างกายให้เราเข้าใจ ไทเก๊กเป็นศาสตร์ที่มีลัทธิเต๋า(บางคนก็เรียกว่าเป็นศาสนา) เป็นปรัชญาพื้นฐาน ว่ากันว่าไทเก๊กเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจเต๋าได้ง่ายขึ้น แล้วผมก็ได้เจอกับตัวเองถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งวันแต่ก็เปิดโลกไปมากทีเดียว
เริ่มต้นพี่อ้วนใช้ทฤษฎีไข่แดง ไข่ขาวมาอธิบายจุดสบาย(Comfort zone)และสุดไม่สบาย(Uncomfort zone) เพื่อจะนำพวกเราไปสู่สภาวะขอบ ซึ่งก็คือสภาวะที่เราอยู่ในจุดที่ถ้าไปอีกจะสู้ไม่ไหวแล้ว แต่ถ้ารักษาสภาวะนี้ไว้ได้ก็จะเกิดการเรียนรู้และเติบโต ถ้าอธิบายเป็นภาพมากขึ้นให้นึกถึงเด็กคนหนึ่งในห้องเรียนคณิตศาสตร์ ถ้าเราให้โจทย์ง่ายเด็กก็ไม่ได้ไปที่ขอบเขาก็จะทำโจทย์ได้อย่างสนุกสนาน หากแต่ไม่เติบโตอะไร หากเราให้โจทย์ยากเกินไปเขาก็จะไม่ทำ คือสภาวะหลุดขอบให้ความยากมากเกินไป สภาวะขอบจะเป็นจุดที่แตะความสามารถของเขาพอดี ไม่ได้สบายแต่ก็ไม่ได้ยากจนทำไม่ได้
ด้วยพื้นฐานนี้การรักษาสภาวะขอบจะทำให้พวกเราเติบโตได้ พี่อ้วนใช้วิธีการเรียบง่ายในการให้เราเข้าใจสภาวะขอบ โดยการให้ผลักกันมีคนหนึ่งยืนตั้งแกนและมีอีกคนผลัก ให้คนผลักสังเกตสภาวะขอบของเพื่อน คนถูกผลักก็สังเกตสภาวะขอบของตัวเอง สภาวะขอบจะสังเกตได้จากเข้าที่เริ่มจะหลุดออกจากพื้นจังหวะนั้นเรียกว่าแตะขอบ ให้หยุดและรักษาไว้ ตอนทำกิจกรรมต้องใช้สัมผัสสูงมาก มองลมหายใจสังเกตการสั่นของร่างกายคู่ของเรา จบช่วงเช้าพวกเราเข้าใจแล้วว่าสภาวะขอบคืออะไร
กลับมาช่วงบ่าย เป็นการเริ่มให้เราเข้าใจการตั้งแกนอย่างจริงจัง การตั้งแกนในกายภาพของคนก็คือการยืนให้ตรง อืมยืนให้ตรงแค่นั้นหละ พี่อ้วนบอกว่าถ้าเรายืนได้ตรงเราก็จะรักษาสมดุลได้เองและเราจะใช้แรงน้อยลง โดยให้เราจินตนาการว่ามีกระบองปักตัวเราจากดวงจันทร์ทะลุหัวเราผ่านลำตัวและลงไปยังแกนโลก มันต้องลองเองจริงๆถึงจะเข้าใจ พอทำแล้วพบว่าเราไม่ได้ออกแรงอะไรมากเลย ไม่ได้เกรงไม่ได้ต้านกับมือของคู่เรา แต่เขากลับบอกว่าออกแรงมากขึ้นแล้วนะ
พี่อ้วนอธิบายความแตกต่างของ Power กับ Force ไว้ว่า Power เราใส่ใจไปที่ปัญหาหรือภัยอันตราย ที่เข้ามาเราจะตั้งมั่นป้องกันเอาไว้ก่อน เหมือนสภาวะแรกที่เราพยายามต้านมือของเพื่อนไม่ให้ผลักเราล้มลง แต่ถ้าเป็น Force เป็นการมีเป้าหมายอยู่ที่การรักษาสภาวะ ตั้งมั่นและสิ่งนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าแกน เรามีแกนเราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราผ่อนคลาย และตั้งมั่น
กลับมาสู่ชีวิตจริง ไม่มีให้อิงอะไร... พอๆ เอาจริงจังในชีวิตจริงผมกลับมาแล้วเห็นเลยว่าที่ผ่านมาแกนเราอ่อนแอ พอมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาเราก็จะโอนเอียง เช่นเพื่อนถามคำถาม เราก็จะตอบป้องกันตัวเองไว้ก่อนแล้ว ทั้งที่ไม่ได้มีใครว่าอะไรเลย หรือแม้แต่คิดไปสู่เรื่องต่างๆนาๆ แต่พอมีแกนซึ่งตอนนี้แกนผมคือการทำให้เราได้ข้อมูลผ่านการลงมือทำให้ไวที่สุด เราจะสนใจเฉพาะสิ่งนี้มองไปยังเป้าหมาย มากกว่าติดอยู่กับปัญหาเล็กน้อย และไม่คิดไปเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากการที่เรามีแกนที่มั่นคงก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด
กลับมาสู่ปรัชญาเต๋า การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งแต่เป้าหมายอย่างเดียวนั้นก็ไม่ดีเสมอไป หากมีสิ่งใดมากระทบเราจะไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือก็เซได้เหมือนกัน เต๋าจะเป็นภาพของหยิงหยาง เป็นการรักษาสมดุล เติบโตแบบบอลลูนที่ค่อยๆขยายออกทุกทิศทาง ไม่ใช่แค่มุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ถ้าเป็นบริษัทถ้ามุ่งแต่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่ไม่สนใจสังคมข้างหลังเลยก็จะอยู่ไม่ได้ เราเรียนแต่สายคิดอย่างเดียว แต่ไม่มีศิลปะเลย พอเจอปัญหาบางอย่างก็ไม่สามารถประยุกค์ใช้ได้