Saturday, October 22, 2016

Smart-i Camp: สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นพี่ค่าย

ขอขอบคุณทีมงานระดับคุณภาพปริมาณคับแก้ว สำหรับกิจกรรมและไหวพริบในการแก้ปัญหา
ทีม Staff ผู้จัดงาน: ครูแก๊ป พี่กุ้ง พี่เอส ครูทิพย์ ครูอร แนน อองฟอง พี่ไก่โต้ง พี่เป้ว
ทีมพี่เลี้ยง: ดิว พลอย เปอร์ มะปรางค์ เติ้ง พี่อาร์ม พี่ข้าวปั้น พี่อ้อน พี่หนึ่ง พี่ซุ๊ป

ต้องขอขอบคุณพี่เอกที่แชร์ข้อความรับสมัครหาพี่เลี้ยงลงมาในกลุ่มของ Teach for Thailand จึงได้ติดต่อเข้ามาคัดเลือกเป็นพี่เลี้ยงในค่าย ด้วยความที่ผมกำลังศึกษา Growth Mindset อยู่เพื่อไปปรับการสอนในอีกหนึ่งปีสุดท้าย เลยตัดสินใจพาตัวเองเข้ามาอยู่ในค่าย Smart-i Camp

เราเป็นทีมที่ดีมาก มีปัญหาอะไรก็ไม่เคยเก็บไว้ พูดกันตรงนั้นเลย บางครั้งก็ด่ากันบ้าง แต่ทุกคนรู้ว่าเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ถึงจะบ่นกิจกรรมแค่ไหน ท้ายวันก็บอกชอบกิจกรรมนั้นทุกครั้งไป ในบนความนี้จะเล่าทั้งสิ่งดีและไม่ดี ความสับสน ความสุข ความไม่เข้าใจกัน จึงอยากจะขอบอกไว้ก่อนว่า ทุกปัญหา ทุกความคับค่องใจที่เกิดขึ้น ได้คลายและกลายเป็นสิ่งที่ดีงานต่อไป

Smart-i Camp

เกริ่นคราวๆก่อน ค่าย Smart-i Camp เป็นค่ายที่เกิดจากการเลงเห็นว่า เรื่อง Mindset เป็นเรื่องที่สำคัญและควรปลูกฝังให้กับเด็กๆ ค่ายนี้จึงเป็นค่ายที่เน้นการพัฒนาใน 3 ด้านได้แก่ Self-esteem, Growth Mindset, Parents child connection (จะกลับมาคุยกันในสามประเด็นอีกทีในภายหลัง) ในค่ายจะมีเด็กวัยตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.6

Day 1: Team Day (I am important as individual)

ในค่ายนี้พี่เลี้ยงและทีมงานมีกฎอันหน้าสะพรึงกลัวมากนั้นคือใครมาสาย เราจะปรับเงินท่าน และไม่ได้ประธรรมดา เราปรับแบบทวีคูณ 20 บาท, 40 บาท, 80 บาท, 160 บาท, .... ไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันมาตรงเวลากันอย่างต่อเนื่อง

ในวันที่ 1 นี้เป็นการละลายพฤติกรรมของเด็กๆ สร้างทีมสี(สีแดง สีฟ้า สีเขียว สีส้ม) และในแต่ละทีมจะมี 3 กลุ่มย่อย พี่เลี้ยง 1 คนจะดูแล 1 กลุ่มซึ่งมีเด็ก 8-9 คน

ในรูปเป็นการทำ Standing Ovation ซึ่งจะเป็นหัวใจหลักของค่ายตลอดสิบวันนี้ 

การทำ Standing Ovation เป็นการสร้าง Self-esteem ในตัวของเด็กแต่ละคน 

ถามว่าทำไมค่ายนี้เลือกที่จะให้ความสำคัญของเรื่องนี้ นั้นเพราะในยุคสมัยปัจจุบันที่สังคมออนไลท์ เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเด็กมาก การที่เด็กขาด Self-esteem จะทำให้ พวกเขาถูกกลืนเข้าไปในสังคม ซึ่งเราจะพบว่าคนรุ่นใหม่หลายคนหาตัวเองไม่เจอ เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ

ในวันนี้จะมีกิจกรรมง่ายๆ เพื่อใช้สร้างความเป็นทีม และสังเกตแววในตัวเด็กแต่ละคน กิจกรรมนั้นคือการเก็บเก้าอี้และยกเก้าอี้มาวาง โดยทำเวลาให้ดีที่สุด ผมชอบกิจกรรมนี้มาก

Day 2: Esprit de Corps (I am important as a team what I am good)


ช่วงเช้ามีการแจก Badge เป็นเหรียญติดหมวก เพื่อให้รางวัลในมิติต่างๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความกล้า ความเสียสละ ความเป็นผู้นำ พร้อมกับสะท้อนให้เด็กเห็นว่าทำไมพวกเขาถึงได้เหรียญเหล่านั้น สำหรับผมเห็นว่า 10 วันมันสั้นไปที่จะเห็นผล แต่ที่แน่ๆ คือเด็กดีใจกลับไปเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่ฟัง บางคนก็เอาผ้ามาเช็ดเหมือนของมีค่าชิ้นหนึ่งของตัวเอง

กิจกรรมในวันที่สองนี้เป็นกิจกรรมที่เน้นการสร้าง Team work ในแต่ละกลุ่มย่อย ขอบอกว่าวันนี้ผมก็ทำไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ เด็กวิ่งเล่น หนีเข้าไปใต้โต๊ะ ต่างคนต่างทำ เหลือคนทำจริงๆไม่กี่คน พอมานึกย้อนกลับไปแล้ว เด็กหลายคนที่วิ่งเล่นในวันนั้น ก็ดีขึ้นมากในวันสุดท้าย

ในวันนี้พี่เลี้ยงมีหน้าที่ Coach ให้เด็กทำงานร่วมกันเป็นทีม ให้กำลังใจ ตั้งคำถามต่างๆนาๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจกิจกรรม และตกผลึก

กิจกรรมแรก เป้าหมายคือการเอาหลอดลงมา โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนในทีม จะต้องเอานิ้วชี้สองข้างแตะด้านล่างของหลอด เป็นกิจกรรมของผู้ใหญ่ เพื่อดูว่าใครมีภาวะผู้นำ ใครมีภาวะผู้ตาม เมื่ออยู่ในทีม

ค่อนข้างเป็นความกังวลของผู้จัดกิจกรรมเอง ซึ่งผมก็ขอชื่นชมที่กล้านำกิจกรรมนี้มาจัดให้กับเด็กเล็กๆ

ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเราสามารถทำได้ โดยวางกติกาไว้หลวมๆ นิ้วหลุดบ้างก็ไม่เป็นไร

[เด็กๆกลุ่มอื่นดูจริงจังกับการเล่นเกมนี้มาก ในขณะที่ผมกำลังวิ่งไล่จับเด็กอยู่ 555 แต่ก็ได้ใช้เวลาวางระบบกลุ่มเสียใหม่ หาเด็กมาเป็นหัวหน้าช่วยงานของเรา ทำให้พอลดปัญหาไปได้บ้าง]

กิจกรรมที่สอง เป็นการเล่นสลาฟตัวเลข โดยกติกามีอยู่ว่า
1) เลขมากจะชนะเลขน้อย
2) ตัวเลขที่ยกเว้น  1 ชนะ 9, 2 ชนะ 8, 3 ชนะ 7

ตอนแรกผมก็งงๆกติกานิดหน่อย น่าจะมีเป็นกระดานแสดงลำดับการชนะไว้ และสาธิตบ่อยๆ

พูดถึงสิ่งที่เกมนี้ให้กับเด็กๆนั้นคือ การวางแผน การจดบันทึก เพราะพวกเขาจะต้องดูว่าแต่ละกลุ่มออกอะไรมาแล้วบ้าง เพื่อที่จะได้ออกเลขมาดักได้

[ในขณะที่กลุ่มอื่นสู้กับอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น เด็กผมก็วิ่งเล่นอีกตามเคยจ้า = = เลยบอกหัวหน้าในกลุ่มว่าอยากออกอะไร ตามสบายเต็มที่เลย แต่ให้ทุกคนได้ออกหมดละกัน]

กิจกรรมที่สาม ต่อตึกสูงด้วยตัวต่อเจงก้า กติกาไม่มีอะไรมาก ให้ตั้งเจงกาแนวตั้งให้ได้สูงถึง 15 ชั้น โดยให้ต่อแถว แล้วออกมาทีละคน คนที่ออกมาจะหยิบแล้วตั้งได้แค่ 1 อันเท่านั้น

กิจกรรมนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า กลุ่มไหนมีความเป็นทีม กลุ่มไหนไม่ หากต่างคนต่างคิด ตอนออกมาจะวางกันสะเปะสะปะมากๆ

กิจกรรมนี้เล่นสองรอบถ้ารอบสองมีวิธีการทำให้เด็กเห็นพลังทีมได้ เด็กๆจะได้เรียนรู้และเข้าใจถึงการทำงานเป็นทีมได้ดีมาก

สิ่งที่ผม Feedback กลับไปในส่วนตลอดวันนี้คือส่วนหัวและท้ายของกิจกรรม นั้นคือการใช้ CFU (Check for understanding) กับนักเรียนบ่อยๆ และควรมีเวลาให้เด็กได้ย่อยหรือทบทวนสิ่งที่ได้ทำไป จะทำให้กิจกรรมในวันนี้ประสบความสำเร็จมากขึ้นไปอีก


ช่วงบ่ายเป็นการเขียน Story board เพื่อถ่ายทำ Stop motion ในวันถัดไป เด็กเล็กๆจะไม่คิดอะไรซับซ้อนมาก ทำให้เริ่มได้ไวกว่าเด็กโตอย่างเห็นได้ชัด

Day 3 Adventure day (I am responsible for myself)

กิจกรรมในวันนี้ผมชอบมากจริงอะไรจริง เพราะเด็ก Active และเกิดการเรียนรู้เยอะมาก กิจกรรมที่ให้เด็กทำมีอยู่ประมาณ 9 อย่างด้วยกัน โดยแบ่งเป็นในเมือง(โรงเรียน) กับในป่า เด็กๆตื่นเต้นและเฝ้ารอวันนี้เป็นอย่างมาก

กิจกรรมจับโปเกมอน กิจกรรมนี้ถือเป็นเกมล่อเด็กจริงๆ คือให้ออกไปตามล่าโปเกมอนจริงๆ โดยทีมงานจะนำโปเกม่อนไปซ่อนตามที่ต่างๆ

ถือว่าทีมงานทำการบ้านมีดีใช้ได้เลย
กิจกรรมปีนต้นไม้ ถือเป็นจุดขายของค่ายนี้ ตอนท้ายวันเราก็กลับมาคุยกันว่า ต้นไม้ที่เลือกมีความโค้ง และขั้นไม้แต่ละอันอยู่ห่างกันมากเกินไป ทำให้เด็กหลายคนไม่สามารถผ่านขึ้นไปถึงชั้นแรกได้

ผมมีเด็กอยู่คนหนึ่งชื่อ ข้าวหอม(ไม่ใช้เด็กผู้หญิงในรูปนะครับ) เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เธอสามารถปีนขึ้นไปถึงชั้นแรกและทำ Standing ovation พร้อมประกาศละทิ้งนิสัยไม่ดี เป็นเรื่องราวเล็กๆที่สอนให้รู้ว่า มันอยู่ที่ใจล้วนๆ

ถือเป็นกิจกรรมที่เด็กๆจะมีโอกาสได้เอาชนะความกล้ว และก้าวข้ามอีกจำกัดที่ตัวเองคิดว่าจะสามารถทำได้ ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับการที่มีเด็กปีกขึ้นไปได้ถึงชั้นสูงสุด แต่การที่เด็กสามารถปีนไปได้ไกลกว่าที่เขาคิดไว้ ทำไปทั้งๆที่กลัวนั้นดูเป็นสิ่งน่าประทับใจยิ่งกว่า

กิจกรรมต่อลังStack ออกจะคล้ายคลึงกับการปีนต้นไม้ ถ้าเปรียบเทียบกันสองอย่างนี้ Stack จะค่อยๆให้เราเพิ่มระดับความสูงทีละน้อย ถ้าไม่คิดถึงเรื่องความปลอดภัย เราสามารถทำให้สูงขึ้นได้เรื่อยๆ

ถ้าจะเสริมสร้าง Growth Mindset ลองให้เด็กตั้งเป้าหมายและให้เขาลองทำดู ถ้าถึงเป้าหมายของตัวเองแล้ว เขาจะตั้งเป้าหมายสูงขึ้นหรือไม่ หรือถ้าไม่ถึงเป้าหมายถ้าปีนรอบต่อไปเขาจะตั้งเป้าหมายต่ำลงหรือไม่

กิจกรรมข้างๆที่เหลือจะเป็นการยิงธนู สำหรับเด็กบางคนก็ถือว่าท้าทาย ด้วยว่าต้องออกแรง และจับให้ถูกต้อง









กิจกรรม Lift it! จะมีโจทย์ให้เด็กสร้างของให้ตรงกับรูปในเวลาที่กำหนด โดยจะมีตะขอติดไว้ที่หน้าผาก บางรอบ Advance มากใช้คนสองคนกับตะขอหนึ่งอัน ต้องประสานกันดีมากทีเดียว

ผมชอบกิจกรรม Board game ในนี้มาก ผมวิเคราะห์ว่ามันเป็นการฝึกสมองทั้งสองด้าน ต้องจินตนาการและใช้ตรรกะว่าเราอะไรวางก่อนไปพร้อมๆกัน


กิจกรรมมนุษย์ถ้ำ เป็นการฝึกสมองส่วนการใช้ภาษา เด็กๆจะได้รับโจทย์มาว่าต้องสร้างอะไร โดยจะมีท่าทางในการบอกเพื่อนว่าจะสนใจของชึ้นไหน และใช้เสียงในการบอกว่าจะต้องทำอะไรกันของชิ้นนั้น

ถ้ามีเวลานานๆ ผมว่าฝึกเด็กได้เยอะเลย ใช้เป็นของเล่นนอกเวลาที่ดีมาก ในค่ายมีเด็กคนหนึ่งที่มีแววด้านภาษามาก สามารถใช้คำสั่งได้คล้องแคล้ว

นอกจากนี้มีกิจกรรมปีนเขาเอเวอเรส เพื่อให้นักเรียนเกิดการวางแผน โดยจะมีแผ่นไวนิล ระบุว่าแต่ละชั้นของการปีนเขาจะต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ เด็กต้องวางแผนเผื่อการเดินทางกลับลงมาด้วย

อีกกิจกรรมเป็นกิจกรรมเอาชีวิตรอดบนดวงจันทร์ ให้ทำการจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ทั้ง 20 ชิ้นที่เอาขึ้นไปว่าอะไรสำคัญมาก อะไรสำคัญน้อย และจะให้คะแนนตามความใกล้เคียงกับเฉลยมากที่สุด รอบแรกทำเดี่ยว รอบสองทำเป็นกลุ่ม จุดมุ่งหมายคือการหาข้อตกลงร่วมกันภายในกลุ่ม สิ่งที่ดีมากสำหรับกิจกรรมนี้คือ ได้เห็นความเข้าใจของเด็ก และความรู้ของแต่ละคนได้เอามาแชร์กัน

กิจกรรมในวันนี้ทุกชิ้นดีหมด ถ้าดึงไปใช้ น่าจะเพิ่มมีเวลาให้ได้เล่นแต่ละอย่างมากขึ้น เด็กๆจะได้พัฒนาทักษะเยอะมากเลย

ในวันนี้พี่เอสสอนเรื่อง 5 Successes ให้ทุกคนกลับไปทำทุกวัน เขียนความสำเร็จในแต่ละวัน ไม่ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ เช่น ขอบคุณวันนี้อาหารอร่อย ขอบคุณที่กลับบ้านอย่างปลอดภัย เป็นต้น

Day 4: Shoot to film (I am responsible for team



ดูผลงานของนักเรียนได้ตาม link นี้ Stop motion - Smart-i Camp

จากเมื่อวานที่นักเรียนทำ Storyboard วันนี้เป็นวันที่พวกเขาจะได้เล่นในตัวละครที่พวกเขาอยากเป็น การถ่ายทำที่พี่ทีมงานดูง่ายมาก เขายิงรัวๆแล้วนำมาตัดต่อเป็นเรื่องราว ทำได้ไวมาก

Day 5: English Day Camp (I do everything at 100%)

เป็นการเรียนภาษาอังกฤษที่ผมรู้สึกว่า เขาเล่นใหญ่มากกกกกกกก คิดว่าถ้าตัวเองเจอภาษาอังกฤษแบบนี้คงรักภาษาอังกฤษไปเลย :)

 ห้องนิทานเรื่อง Cinderella

เข้ามาครูหน้าตาจีนๆ ตัวใหญ่ ใจดีก็ให้เด็กๆมานั่งแล้วก็เปิดหนังสือภาพเรื่อง Cinderella แล้วก็เล่าเรื่องประกอบ Emotion ตกใจ ดีใจ

ครูก็จับเด็กมาแสดง แต่งตัวกันแบบจัดเต็มมากจนไม่คิดว่าจะเป็นคาบเรียนไม่ถึงชั่วโมง เด็กแต่ละคนก็จะได้อ่านบท และขึ้นมาเล่นบนเวที

เด็กที่เล่นเป็น Cinderella ก็เขินๆเวลาเล่นกับเจ้าชายดูน่ารักดี

เป็นวิธีการเรียนรู้ที่วิเศษณ์มาก ถ้ามองในมุมระดับการเรียนรู้ผมให้เกือบสูงสุดเลย เป็นห้องเรียนภาษาอังกฤษที่มีชีวิตมาก ถ้านักเรียนที่โรงเรียนได้เรียนแบบนี้คงจะดีไม่น้อย

ความเล่นใหญ่ของครูภาษาอังกฤษ คงจะตราตรึงให้ผมรู้สึกถึงความเป็นไปได้มากมายในการสอนคณิตศาสตร์ เมื่อเทอมใหม่เริ่มต้นขึ้น

อีกห้องหนึ่งเป็นนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ไม่ได้เข้าไปดู เลยนำแต่เพียงภาพมาประกอบให้ดู แต่จะไม่ได้บรรยายอะไรในห้องนี้


อีกห้องหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบมาก คือห้องเรียนศัพท์เกี่ยวกับเสื้อผ้า ซึ่งตรงกับแนวคิดที่ผมอยากจะใช้สอนคณิตศาสตร์ในห้องเรียนอยู่พอดี

ช่วงต้นคาบคุณครูติดรูปเครื่องแต่งกายที่มีคำศัพท์ประกอบ เต็มกระดานเลยใช้เวลาไม่นานมาก ก็เข้าสู่ช่วงกิจกรรม โดยครูแบ่งเป็นสองทีมยืนเรียงแถวกัน เบื้องหน้ามีกองเสื้อผ้าให้นักเรียนตามหาตามคำบอกของครู เมื่อหยิบได้แล้วต้องไปตบมือครู(ครูก็จะไปแอบซ้อนหรือวิ่งหนี 555) ใครทำเสร็จก่อนจึงจะได้คะแนน ผมชอบกิจกรรมช่วงนี้มากเพราะทำให้เด็กได้เห็นของจริง(Concrete)

กิจกรรมที่สองในห้องเรียนนี้จะเป็นการเล่น Bingo โดยในทั้ง 16 ช่องจะมีรูปภาพของเครื่องแต่งกายอยู่ ซึ่งเด็กๆจะต้องตั้งใจฟังให้ดีเพื่อที่จะวางให้ถูกและบอก Bingo กิจกรรมนี้ผมถือเป็นขั้นที่สอง นำภาพของจริงในหัวของเด็กมาสู่รูปภาพ (Pictorial) เด็กดู Focus และสนุกกันมาก จะเห็นได้ว่าเขาเขียนคำศัพท์น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นของจริงกับรูปภาพ ซึ่งผมเชื่อการเรียนรู้แบบนี้มาก

ช่วงบ่ายผมก็ได้ครูในห้องเสื้อผ้าเป็นคนนำกลุ่มไปศึกษาคำศัพท์ในธรรมชาติ ตรงป่าของโรงเรียน พี่แกก็ใช้เทคนิคเดิม บอกสิ่งที่ให้ตามหาแล้วนำไปให้พี่เลี้ยงดู ใครทำได้ก่อนก็จะได้คำแนนเป็นเหรียญ(Token) ซึ่งเป็นระบบเงินในค่าย

วันนี้มีความสุขมากกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากครูภาษาอังกฤษ

Day 6: Field Trip Kidzania (I do everything at 100%)


อีกหนึ่งวันที่เด็กๆรอคอยคือการได้เดินทางไป Kidzania (เด็กที่โรงเรียนผมก็บ่นอยากไปนักหนา) ขอ บอกกันตามตรงว่า เด็กในค่ายนี้หลายคนก็เคยเดินทางไปแล้ว บางคนก็ไม่เคยไปแต่มีส่วนน้อย

ภายใน Kidzania จะมีกิจกรรมที่ทำแล้วได้เงินและกิจกรรมที่เสียเงิน ซึ่งกิจกรรมที่เสียเงินส่วนใหญ่เป็นการทำอาหาร แต่งหน้า ใช้บริการซะส่วนใหญ่ เราก็จะได้เห็นแนวคิดในการใช้เงินของเด็กๆ บางคนก็ทำงานลูกเดียวเลยไม่ใช้เงินเลย บางคนก็ใช้เงินจนหมดตัว กลุ่มหาเงินก็จะไปขายประกันกันสองสามรอบ กลุ่มใช้เงินก็จะวิ่งซื้อของจากคนขายประกัน 555+

สถานที่ อุปกรณ์ทุกอย่างถือว่าพร้อมและดีมาก ถ้าผมเป็นเด็กคงจะรู้สึกอินกับสิ่งที่มีใน Kidzania ถ้าพนักงานบิวท์เด็กมากกว่านี้จะเป็นอะไรที่ดีงามมาก (มุมมองของเปอร์)

หากเราเป็นผู้ปกครองพาเด็กไปควรจะต้องวางแผนให้ดี เพื่อให้คุ้มค่าควรให้เด็กเล่นได้อย่างน้อย 7-8 อาชีพ ซึ่งวันที่ไปผมก็ยอมรับว่าตัวเองยังบิวท์และ Coach เด็กไม่ดีพอบางคนเล่นได้น้อยเกินไป

ผมชอบ Idea ของ Kidzania ที่โคกับบริษัทต่างๆที่มีในประเทศไทย ซึ่งผมเดาว่าบางบริษัทเองก็ต้องเสียเงินเ พื่อเข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของ Kidzania

เทอมหน้าคงมีได้พาเด็กไป Field Trip กันซักที่สองที่แน่นอน แหล่งเรียนรู้ในประเทศไทยมีเยอะมาก เป็นหน้าที่ของเราที่จะเลือกให้เหมาะสมกับตัวเด็ก

Day 7: STEM (I am Proud to be me)

Science Technology Engineering and Mathematical (STEM) กิจกรรมในวันนี้จะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเด็กเล้กจะประกอบรถ และกลุ่มเด็กโตจะทำรางรถไฟเหาะ โดยธรรมชาติของ STEM แล้วเด็กๆจะเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ผ่านการลงมือทำ และมีคำถามของครูช่วยชี้ประเด็นเพื่อคบคิด

กลุ่มเด็กเล็กจะทำการประกอบรถ ครูที่มาสอนเริ่มต้นจากการให้นักเรียนประกอบรถตามแบบที่ให้มา ซึ่งผมพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะให้เด็กต่อตามรูป Assembly ที่มีความซับซ้อน แต่ถ้าค่อยๆไล่จากรูปง่ายไปยากอาจจะช่วยได้ แต่คงต้องใช้เวลานิดนึง

ในช่วงบ่ายก็จะปล่อยให้เด็กๆประกอบรถคนละคัน พอดีผมไม่ได้อยู่ด้วยเลยถามๆเพื่อนเอา พอจะทราบว่าในกิจกรรมนี้ เราจะสามารถสอนเรื่องจุดศูนย์ถ่วง เรื่องแรงเสียดทาน ได้ เช่นเด็กทำรถแล้วไปได้ไม่ไกล หรือล้มเมื่อลงมาจากทางลาดเอียง ก็ตั้งคำถามสือเสาะเด็กไปเรื่อยๆ จนเขาเข้าใจได้ด้วยตนเอง

ส่วนเด็กโตจะประกอบ Roller Coaster โดยเน้นให้ได้ระยะไกลสุดและใช้เวลานานที่สุดในการไปถึง อย่างในรูปเด็กๆจงใจประกอบเส้นทางให้ราบมากที่สุดเพื่อลดความเร็วและลดการสูญเสียพลังงานได้เอง โดยที่ไม้รู้จักหลักการของกฎอนุรักษ์พลังงาน

มีกลุ่มหนึ่งผมเข้าไปโค้ช แล้วพบว่าตอนไปถึงเด็กๆต่อกันมั่วมาก ทดลองหลายครั้งก็พบว่าลูกบอลตกลางทุกครั้งไป ผมจึงตั้งคำถามสอนเด็กๆไปเรื่อยๆ

ผม: เด็กๆคิดว่าทำไมลูกบอลถึงตกราง?
เด็ก: เพราะว่าลูกบอลมันวิ่งเร็วครับพี่
ผม: แล้วคิดว่าอะไรทำให้ลูกบอลวิ่งเร็ว
เด็กตอบคำถามนี้ไม่ได้ ผมจึงสาธิตด้วยลูกบอลกับรางเอียงมากกับรางเอียงน้อย (ไม่ได้พูดถึงคำว่าเอียง)
เด็ก: อ้อเพราะมันเอียงมากกว่าลูกบอลจึงวิ่งไวกว่า
ผม: แล้วอะไรทำให้รางของเราถึงเอียง...

สำหรับผมหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการสอน STEM คือเรื่องคำถาม คำถามดีๆช่วยให้เด็กได้เรียนรู้และคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น

ในระหว่างวัน Staff ทุกคนมีการเขียนจดหมาย Thank you พอกลับมาอ่านแล้วก็ได้เห็นมุมของตัวเองที่บางอย่างเราก็มองไม่เห็น

Day 8: Sport day (I am Proud to be me)


เป็นวันที่เด็กๆได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่ช่วงเช้ามีกิจกรรมกีฬา Chairball และ Football ฉบับดัดแปลงให้เด็กๆทุกคนได้มีส่วนร่วม

ในตอนบ่ายมีกิจกรรม Water fight เล่นปืนฉีดน้ำและลูกโป้งน้ำสู้กับทีมพี่เลี้ยง (เพื่อสร้างความเป็นทีมอันหนึ่งอันเดียวกัน) ถ้านับความสนุกในวันนี้ให้เต็มร้อย แต่สิ่งที่ต้องการจะสอนเด็ก ผมว่าเรายังทำได้ไม่ค่อยดีนัก

Day 9: Dance Step up (All Together)

วันที่ 9 เตรียมตัวแสดงเต้นให้ผู้ปกครองของเด็กๆดู วันนี้ Staff เล่นบทโหดกับเด็ก

ที่ผ่านมาวินัยเราขาดกันไปเยอะ ทำให้วันนี้เด็กวิ่งเล่นกัน บางคนไปดึงผ้าม่าน ไปนั่งบนเก้าอี้สูงบ้าง วุ่นวายทีเดียว

ครูอรกับครูปั้น เลยจัดหนักระบบ SOTUS จนเด็กนิ่งไปเลย 555

ช่วงท้ายวันมีการเขียน Vision Board เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในค่าย เป็นการขอบคุณเพื่อนๆในค่าย และตั้งเป้าหมายเล็กๆที่จะทำเพื่อพ่อแม่ของตัวเอง

Day 10 Closing Ceremony (All Together)

วันสุดท้ายช่วงเช้าเป็นการทำ Vision Board ต่อและมีการการประมูลของขวัญกลับบ้านในช่วงบ่าย

เด็กบางส่วนขึ้นมาเล่า Vision Board พี่เลี้ยงมาเล่าเรื่องราวความประทับใจที่มีในค่าย และจบด้วยการแสดงของเด็กๆ

สำหรับพี่เลี้ยงแล้วมัน ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อแม่ที่เฝ้าดูลูกของตัวเองแสดงบนเวที เป็นความรู้สึกตื้นตันที่ดีเหลือเกิน

"ขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองมาอยู่ในค่ายแห่งนี้"

No comments:

Post a Comment