Friday, October 30, 2015

Teach for Thailand - day 0: Institute closing ceremony

ในบทความนี้จะแบ่งเป็นสองส่วนด้วยกันส่วนแรกจะเป็นประสบการณ์ของผมที่ได้เข้าไปในโรงเรียนเป็นครั้งแรก และส่วนที่สองจะเป็นประสบการณ์ที่ได้ฟังจากบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ท่านหนึ่งบางคนอาจจะรู้จะ และอีกท่านผมเชื่อว่าทุกคนรู้จักท่านดี



Observe school: วันแรกของการเข้าไปสำรวจโรงเรียนที่จะไปสอนตลอด 2 ปี

โรงเรียนวัดเกาะสุวรรณาราม เป็นโรงเรียนขยายโอกาสสังกัตกทม. เปิดสอนตั้งแต่ชั้น อนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น

ผมเดินทางไปถึงโรงเรียนตั้งแต่ 7:30 เจอ "ครูแอน" มาถึงก่อนรออยู่แล้ว เลยได้สอบถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับโรงเรียน นักเรียนและคุณครู ได้ข้อมูลไปเตรียมตัวในบางส่วน

เนื่องจากการคาบเกี่ยวของเวลาปิดเทอมทางครุศาสตร์จุฬาฯ กับโรงเรียนทำให้ผมต้องมาเริ่มสอนในเทอมที่ 2 และได้ข่าวทราบว่าผมจะต้องไปติว O-net ให้กับนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางผอ.ต้องการจะให้คะแนนคณิตศาสตร์นั้นเพิ่มมากขึ้น

บางคนบอกกว่าคะแนน O-net นั้นไม่ได้สำคัญต่อตัวเด็กมากนัก เราควรจะเน้นไปที่ทักษะของนักเรียนมากกว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วยในส่วนหนึ่ง แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าคะแนน O-net มีความสำคัญต่อการสร้างแรงกระเพื่อมในระยะสั้น และเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะรับรู้ได้โดยทันที ผมคิดว่าเราไม่อาจจะละเลยได้ มันเป็นผลกระทบที่มากกว่านักเรียน 200 คนที่เราแต่ละคนสอน แต่มันหมายถึงอนาคตของเด็ก 4,800,000 คน ที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการได้รับการศึกษาที่เท่าเทียม

ถ้าเราแสดงให้ประเทศนี้เห็นได้ว่า เราสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดโอกาสเหล่านี้ได้ และพวกเขาเหล่านี้มีคุณภาพ ศักยภาพและเป็นคนดีของสังคม พร้อมที่จะแบ่งปันในสิ่งที่พวกเขามีกลับคืน เมื่อนั้นผลกระทบของนักเรียน 200 คน ต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง 1 คน จะไปถึงเด็กทุกคนได้

ระหว่างรอเข้าประชุมโรงเรียนตอน 9 โมง ผมเดินสำรวจแปลงผักหลังโรงเรียนตามแนวคิดของเศรศฐกิจพอเพียง ที่ทางโรงเรียนนี้มีการส่งเสริม

1. 2.

3.4.

5.6.

มีหลายสิ่งที่ผมคิดไว้ ผมอยากให้นักเรียนได้รับสารอาหารจากผัก ที่พวกเขาได้ปลูกขึ้นมาเองในโรงเรียน แนวคิดนี้เกิดจากการที่ผมได้ฟังเรื่องราวของโรงเรียนอมาตยกุล ที่ใช้ ์Neohumanist มาประยุกค์ใช้ในการเรียนการสอน โรงเรียนนี้นักเรียนร่างกายแข็งแรง และเขาบอกว่าการกินอาหารที่มีพลังชีวิตสูง พวกของสดๆ จะช่วยเรื่องนี้ได้มากทีเดียว

ในรูปที่ 5 เราจะเห็นเศษซากใบไม้ กิ่งไม้ ผมเข้าใจว่าทางโรงเรียนใช้ไปทำปุ๋ยต่อ ถ้าจะต่อยอดนำไปเลี้ยงไส้เดือนได้หรือไม่ ไส้เดือนที่ผมเห็นจากการไปศึกษาดูงานของพวกพี่รุ่น 1 มีการใช้ใส่เดือนในการผลิตปุ๋ยสร้างมูลค่าเพิ่ม ปุ๋ยจากมูลไส้เดือน ปุ๋ยน้ำจากฉี่ไส้เดือน และตัวไส้เดือนนั้นมีมูลค่า ซื้อขายกันในตลาด ซึ่งอาจจะนำของเหลือใช้ในรูปที่่ 4 นำกลับมาใช้ใหม่เป็นสถานที่เลี้ยงไส้เดือน

ประชุมคุณครูโรงเรียน
ถึงเวลาเข้าห้องประชุมแล้วเช็คความพร้อมเสร็จ เริ่มการประชุมเวลา 9:15 น. บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ผมก็นั่งเก็บข้อมูลเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไป พยายามจำชื่อคุณครูให้ได้ ดูว่าจะต้องเข้าเวรอย่างไร แผนการสอนจะต้องส่งที่ใคร ผอ.ท่านมีวิธีในจัดการคนได้ดีมาก และผมก็เห็นด้วยว่าการบริหารคนเป็นสิ่งที่ยากที่สุด พี่รุ่น 1 ที่อยู่ในโรงเรียนนี้บอกกับผมแล้วว่า ผอ. เป็นคนจริง ลุยจริงลงไปทำงานกับภาโรงได้ ปูพื้นอิฐทางเดินเอง ในบ่ายวันนี้ผอ. จะให้ครูผู้ชายช่วยกันขนปุ๋ยที่หมักแล้วไปใส่ต้นไม้ ผอ.ให้เหตุผลเป็นการส่วนตัวตอนที่ได้คุยกันว่า เมื่อก่อนครูผู้ชายจะแบ่งกันเป็นก๊ก ท่านเลยหางานให้ทำร่วมกัน ทุกคนจะได้รวมกันเป็นหนึ่ง ท่านพยายามทำหลายมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียว รู้สึกโชคดีที่ได้เจอ ผอ. ที่ดีเข้าใจและเอาใจใส่ขนาดนี้

โครงการที่คุยกันไว้กับครูโอและครูแอนไว้ มีโครงการเลี้ยงไส้เดือน โครงการปลูกผักออแกนิค (อันนี้ ผอ. เสนอมา) โครงการเรียนวันเสาร์ Saturday school (https://www.facebook.com/SaturdaySchoolThailand) ของครูยีราฟ (โครงการนี้ ผอ. ยังคงกังวลเรื่องความเป็นไปได้ที่นักเรียนจะมาเรียนอยู่)

แอบขึ้นไปดูห้องเรียนเล็กน้อย เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสื่อต่างๆดูจะพร้อมให้นักเรียนได้เรียนรู้





Institute closing ceremony: พิธีปิดช่วง Institute



พูดถึงแล้วก็น่าใจหายไม่นานก็ผ่านไปแล้ว 8 สัปดาห์ของการฝึกฝน ตั้งแต่ดอยตุงมายังครุศาสตร์จุฬาฯ และทดลองสอนในโรงเรียน พิธีปิดจะมีการมอบเกียติบัตร ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ และฟังคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่าถึงโครงการในอีกมุมหนึ่ง

ผมยอมรับว่าตนเองมักจะหลงลืมไปเสมอ ว่าเราครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีคนที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ มีคนมามายที่ต่อสู้กับระบบเพื่อให้พวกเราได้เข้าไปสอน มีคนที่คอยแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากแรงเสียดทานในสังคม มีคนที่คอยสร้างปาฏิหาริย์ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ผมจะตั้งใจทำหน้าที่ให้สุดความสามารถไปตลอด 2 ปี

ดร.วิเชียร พงศธร เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของทางมูลนิธิ Teach for Thailand
ในกลุ่มของเราท่านได้พูดถึงปัญหาทางการศึกษานั้นกระทบกับเด็กถึง 4,800,000 คนทั่วประเทศ ที่ว่าการศึกษานั้นฟรีเข้าถึงได้อาจจะไม่จริงซะทีเดียว มีเด็กที่ไม่ได้เรียนเต็มที่ ครอบครัวยากจน อยู่ในถิ่นทุรกันดารอีกมากมาย และเด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็เข้าสู่วัฒจักรเดิมๆ

มูลนิธิยุวพัฒน์ ที่อาจารย์ดูแลอยู่มากว่า 20 ปี ช่วยเด็กที่อยู่ล่างสุดของสังคมไทย 6000 กว่าคน ทั้งทางด้านทุนการศึกษาและการดูแล อาจารย์พบว่า เมื่อเด็กเหล่านี้ได้รับทุน ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีขึ้น พวกเขาเหล่านั้น เติบโตไปเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพในสังคมได้ ครู ตำรวจ พยาบาล

อาจารย์พูดถึงคุณค่าของตำรวจที่ดีต่อสังคมไทยนั้นสำคัญมาก และเด็กที่อยู่ในมูลนิธีนี้ตั้งใจจะเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเหตุให้ท่านเชื่อว่า Teach for Thailand นั้นเป็นไปได้

การสอนให้เด็กเป็นคนดีไม่ใช้เพียงแค่เรื่องสวยงามและเพ้อฝัน ปัญหาการคอรับชั่นในสังคมไทยเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน นึกย้อนกลับไปผมก็อยากจะด่าความคิดของตัวเองในตอนนั้น เมื่อผมได้เห็นโครงการโตไปไม่โกงของ กทม. ผมตั้งคำถามภายในใจว่าคุณกำลังโยนภาระทั้งหมดไปให้กับลูกหลาน แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาเลย แม้แต่ตัวผมเองก็ยังคงพูดมากกว่าลงมือทำบางสิ่งบางอย่างให้มันเกิดขึ้น

เราเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ไม่เพียงแต่จะสอนองค์ความรู้เท่านั้น แต่การส่งเสริมให้เขาเป็นคนดีนั้นก็สำคัญเช่นกัน อาจารย์ยกงานวิจัยชิ้นหนึ่งขึ้นมาบอกว่า เด็ก 87% เคยโกงข้อสอบในช่วงที่เรียนอยู่ และ 75% ในนั้นบอกว่าตนเองไม่ได้รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป

อาจารย์ปิดท้ายด้วยการให้กำลังใจกับพวกเราทุกคน ว่าจบไปสองปีหลังจากนี้พวกเราจะได้มากกว่าที่เราคาดฝัน เราเสมือนอยู่ในห้องทดลอง 2 ปี มีประสบการณ์ในการรับผิดชอบชีวิตของคนหลายร้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทต้องการจากคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหาร นอกจากทักษะความรู้


คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าท่านเกี่ยวข้องกับโครงการของเราได้อย่างไร

ท่านบอกว่าสิ่งที่โครงการของเรากำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ ท่านตั้งใจจะทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ

"พระเทพเคยตรัสไว้กับผมว่า ทำไมเราไม่เอาคนเก่งๆในสาขาต่างๆมาเป็นครูหรืออาจารย์ ผมก็เลยไปลงมือทำตามรับสั่ง เปิดอบรมผู้มีความรู้ในวิชาชีพอื่นให้มีความรู้และเป็นครูได้ แต่มันใช้เวลานานเกินไป พระเทพจึงตรัสกลับมาว่า ทำไมมันใช้เวลานานเช่นนั้น คนเหล่านี้ที่มีความรู้ ความสามารถพร้อมที่จะเป็นครู ไม่น่าจะใช้เวลานานเช่นนั้นเพื่อที่จะนำเขาเข้าสู่ระบบการศึกษา" คุณอภิสิทธ์กล่าวไว้ประมาณนี้

ท่านบอกว่า สิ่งที่พวกเราจะได้กลับไปมหาศาลนั้นคือ การได้รู้จักชีวิตและสังคมในมุมที่เราไม่ค่อยจะได้เห็น การเข้าไปสัมผัสเด็กที่ด้อยโอกาสในหลายๆด้าน จะเพิ่มโลกทัศน์ในสังคมของเราให้มากขึ้น

ท่านบอกว่าท่านยินดีมากที่เริ่มเกิดแรงเสียดทานขึ้นในสังคมได้ กับโครงการของเรา เพราะถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นเลยแสดงว่าเราก็ใช้วิธีเดิมๆในการแก้ไขปัญหา ต่อจากนี้เราจะค่อยๆก้าวข้ามอุปสรรคไปทีละขั้น

ท่านเคยถูกเรียกไปพูดในมหาลัยที่ต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนให้นักเรียนไทยกลับมาทำโครงการนี้มีคนบอกกับท่านว่า พวกเขาเข้าใจว่าเรากำลังจะไปเปลี่ยนแปลงการศึกษา

"เรามาเปลี่ยนแปลงการศึกษา ไม่ใช่หรอกเรามาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เรากำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน และอนาคตของประเทศ"

Thank you team institute Teach for Thailand

No comments:

Post a Comment