Friday, August 21, 2015

Teach for Thailand - Institute day 3

บันทึกการเดินทางตอนที่ 3: ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักผอ.

อ่านบทความตอนที่แล้ว Teach-for-Thailand-institute-day-2



ทำไม Teach for Thailand ไปสอนเด็กในกรุงเทพ แต่ไม่ไปสอนบนดอย มีคนที่เคยเดินทางไปสอนเด็กบนดอย เล่าให้ผมฟังว่า "เราไม่ได้ขึ้นไปเพื่อเติมเต็มให้พวกเขา พวกเขาต่างหากที่เติมเต็มคนเมืองอย่างพวกเรา"

ในการเดินทางครั้งนี้เราจะได้พบกับ สองผอ. ที่น่าอัศจรรย์ใจถึงสองท่านด้วยกัน ในสองโรงเรียน ที่มีสองขนาดต่างกัน โรงเรียนขาแหย่งพัฒนา และโรงเรียนห้วยไร้สามัคคี ระวังไว้แล้วคุณจะหลงรักสถานที่แห่งนี้"ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักผอ." ผมอยากให้คนที่เป็นคุณครูใหม่ พ่อแม่ที่ต้องสอนลูก และทุกคน ได้ขึ้นไปเห็นสองโรงเรียนนี้ ได้พูดคุยกับผอ. มันเปิดโลกด้านการเรียนรู้ได้มากจริงๆ

สา-หวัดดีครับพี่ ป.5 สา-หวัดดีครับน้องๆทุกคน

เดินทางไม่ไกลจากที่พักด้วยรถตู้ เราก็มาถึงโรงเรียนขาแหย่งพัฒนา เราขึ้นมาเช้าเพื่อให้ทันเห็นเด็กเคารพธงชาติในตอนเช้า ขอเกริ่นให้เห็นภาพซักเล็กน้อย เด็กที่มาโรงเรียนนี้มาจากชนเผ่าที่แตกต่างกัน ซึ่งใช้ภาษาไม่เหมือนกัน และเด็กที่เข้ามาใหม่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับชนเผ่าเล็กน้อย

เด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้น อาจจะต้องเข้าไปทำงานในเมือง เมื่อก่อนจะเป็นปัญหามากเพราะพวกเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ และคนเมืองมองว่าคนบนดอยนั้นเนื้อตัวสกปรก โรงเรียนขาแหย่งก็มีรูปแบบการสอน เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้

เด็กๆจะนั่งล้อมเป็นวงกลม ตั้งใจเรียน กล้าแสดงออกถึงความอยากเรียนสูงมาก

บอกได้เลยว่าเกินคาดและน่าประทับใจมากสำหรับโรงเรียนนี้ โดยเฉพาะ ระบบการสอนแบบ Montessori ในเด็กระดับชั้นอนุบาล ใช้ชั้นเรียนเด็กอนุบาล 1-3 จะเรียนในชั้นเดียวกัน รุ่นน้องจะเห็นแบบอย่างจากรุ่นพี่ รุ่นพี่จะเป็นแบบอย่างที่ดีและคอยช่วยสอนรุ่นน้อง

เขามาถึงห้องคุณครูให้นักเรียนทำสมาธิ โดยการให้ทำท่าตามเพลงช้า ก่อนที่จะหลับตาเข้าสู่สมาธิ ซึ่งเหมือนกับที่ผมไปปฏิบัติธรรมเลย เราไม่ได้อยู่ดีๆเข้ามานั่งสมาธิเลย มีการเดินจงกลมก่อนนั่งสมาธิ สาเหตุที่ให้นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเริ่มเรียนเขาบอกว่า ตอนเช้าเด็กเล่นมาเยอะมาก จึงใช้กิจกรรมนี้ให้พวกเขาสงบลง เด็กในวัยนีเก่งมากที่นิ่งได้ขนาดนี้

คุณครูเริ่มจากให้เด็กไปหยิบชื่อเพื่อน ที่เป็นภาษาอังกฤษ ไปวางไว้หน้าเพื่อน แล้ววิ่งไปหยิบตัวอักษรมา 1 ตัวที่แขวนอยู่ในห้อง เขาสอนภาษาอังกฤษเด็กได้น่าสนใจมาก ที่นี้ไม่ได้สอนให้เด็กท่อง A-Z แต่ให้เด็กรู้จักเสียงของแต่ละตัวอักษรแทน เช่น "P" ออกเสียงว่า "พะ" "E" ออกเสียงว่า "เอะ" ซึ่งมัน Make sense มากเลยเพราะว่า ถึงรู้ว่าตัวอักษรชื่ออะไรก็ไม่ได้ช่วยให้ออกเสียงได้

หลังจากครูสอนภาษาอังกฤษแล้ว ครูก็ในนักเรียนท่อง 1-10 ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาลาบา(ภาษาชนเผ่า) ภาษาจีน โอ้แม่เจ้าจะเก่งไปไหนจบไปพูดได้ 4 ภาษา ถึงตรงนี้ผมขอขั้นรายการซักแปบนีง ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงดูถูกพม่า ดูถูกคนเขมรอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้กำลังแย่งอาชีพจากคนไทยไป เพราะพวกเขารู้ภาษาไทยเช่นกัน เรื่องภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญ

ก่อนจะปล่อยให้เด็กไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือเรียนแบบ Montessori ครูก็นำของเล่นสอนการหั่นแตงกวา มาสอนเด็กๆ ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ในห้องนี้มีเยอะมาก และแทบทั้งหมดทำจากไม้ เพื่อความทนทานใช้ได้นาน ถึงแม้จะแพงก็ตาม

ตารางสำหรับสอนการบวกลบเลข
ถ้ามีเวลาผมว่าจะศึกษากระบวนการคิด ที่ของเล่นต่างๆสอนให้เด็ก โดยเฉพาะเลข ในฐานะที่เคยเป็นอาสาสมัครสอนเด็กในต่างจังหวัด จะผลว่าหลายๆคนมีปัญหาเรื่องการ บวก ลบ คูณ หาร เลขมากๆ มีเพื่อนผมข้างๆบอกว่านี้เป็นคำตอบ ที่เธอพยายามตามหาตาโดยตลอด การสอนเลขโดยให้เด็กคิดในใจ อาจจะไม่ถูกต้อง ผมไม่เคยนึกเลยว่าการคิดในใจสำหรับเด็ก มันเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับพวกเขา ของเล่นหลายชิ้นทำให้เลขเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งผมชอบมันมากๆ


ของเล่นสอนการใช้ตัวล็อคพลาสติก
เรื่องทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันก็สำคัญเช่นกัน งานบางอย่างเช่นการติดกระดุม อาจจะรู้สึกว่าง่ายในความคิดของเรา แต่มันยากมากถ้าเรามองในมุมของ เด็กตัวเล็กๆที่ไม่ได้มีแรงมากนัก ถ้าเป็นตัวล็อคพลาสติกถือได้ว่าท้าทายมากๆ เมื่อเด็กเหล่านี้มีทักษะในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น เขาก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้อีกด้วย ผมยังจำได้ในวัยเด็กผมใช้เวลานานมาก ในการสังเกต ว่าแม่ผูกเชือกรองเท้ายังไงให้ผม แม่ไม่เคยสอนว่ามันผูกอย่างไร แต่ผมก็เรียนรู้ได้เองและวันหนึ่งก็ผูกได้สำเร็จ เด็กมีศักยภาพสูงมาก อยู่ที่สภาพแวดล้อมจะเอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กหรือเปล่าเท่านั้น พูดแล้วควรจะกลับไปอ่าน "วิชาความคิดที่คุ้มค่าหน่วยกิตที่สุดในโลก" อีกรอบน่าจะดี

ห้องถัดมาคือห้องเด็กพิเศษ เด็กในห้องนี้เรียนไม่ทันเพื่อนในชั้นเรียน ถ้าเป็นโรงเรียนอื่นๆจะปล่อยให้พวกเขาอยู่ในระบบเดิม บางคนก็เรียนไม่ได้ลาออกไป สิ่งที่ครูสอนในห้องนี้คือการทำโครงงาน เด็กที่ไม่เก่งด้านวิชาการ ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ หลายๆคนเก่งในทักษะที่ประกอบอาชีพได้เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา ปลูกต้นไม้

คุณครูจะสอนจาก Why เหตุผลที่พวกเขาจะต้องไปเลี้ยงหมู ทำเป็น Mind map ออกมาโดยให้พวกเขาคิดเอง For what เลี้ยงหมูไปเพื่ออะไร และพวกเขาจะเรียนรู้กระบวนการเลี้ยงหมู และเน้นการสอนภาษาไทย คณิตศาสตร์

ครูในห้องก็สอนพวกเราว่า สิ่งที่ครูส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดก็คือ การตกเป็นทาสของตำรา เอาตำรามาสอนแทนที่จะสอนความจริง การสอนให้ใช้คำถามนำ การเขียนวันที่ ขีดเส้นใต้ ให้พวกเขาคิดเองว่าจะเขียนอย่างไร ต้องรู้เอง ไม่มีถูกไม่มีผิด



ต่อมาที่ห้องภาษาไทย ก่อนเริ่มเรียนจะมีการ Warm สมองด้วยการใช้มือทำท่าตามเพลง จนถึงวันนี้ผมก็ยังทำตามไม่ได้ซะที ในห้องเรียนใช้สื่อต่างๆช่วยในการสอน และเห็นได้ชัดเลยคือสภาพแวดล้อมในห้อง แหล่งความรู้มีเต็มไปหมด

จากการสังเกตห้องทั้งสามห้อง มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไป เห็นถึงความผิดพลาดต่างๆมากมาย ในการสอนต่างๆ ยังมีสิ่งที่ต้องฝึกฝนอีกมากมาย



ก่อนจากโรงเรียนขาแหย่ง พวกเราได้มีโอกาสคุยกับผอ. ที่คิดต่างทำเพื่อเด็กอย่างแท้จริงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ผมขอแยกไว้ดังนี้

  1. เรื่องสภาพแวดล้อม ในโรงเรียนจะพยายามทำสภาพแวดล้อมให้เหมือน สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียนให้มากที่สุด 
    1. สิ่งแรกที่ผอ. ยกเลิกคือ ถาดหลุม ในชีวิตจริงแทบจะไม่มีที่ไหนเลยที่มีถาดหลุม นอกจากทหารและเราไม่ใช้ทหาร 
    2. สิ่งต่อมาคือยกเลิกการที่แม่ครัวตักอาหารให้ เพราะเหมือนสภาพแวดล้อมของลูกจ้าง ที่ต่อแถวรับอาหาร 
    3. เด็กต้องล้างจานเองตั้งแต่อนุบาล
    4. สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก แต่ต้องระวังที่อย่าติดกับการอยู่ห้องเรียนมากเกินไป (ห้องที่นั่งเรียนไม่ได้เหมาะกับการนั่งเรียนนาน เพราะมีไว้ให้ ยืน เดิน นั่ง นอน)
  2. ผอ. เป็นคนที่ดีมาก แต่ก็เคยทำผิดพลาดจากสิ่งนี้ โรงเรียนที่ผอ. ได้เคยไปดูแลมาก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่นี้ เขาทำเองทุกอย่าง ทุกงานที่มีในโรงเรียน คนที่นั้นรักผอ. มากแต่ในวันที่ผอ. จากไป (หมายถึงย้ายโรงเรียนไป) เหมือนเราทำร้ายพวกเขา เพราะพวกเขาทำอะไรไม่เป็นเลย จงอย่าทำงานเองทุกอย่างเองทั้งหมด สอนงานคนอื่นให้ทำหน้าที่แทนเราได้ และพร้อมในวันที่เราจากไป
  3. การทำงานใน TFT 2 ปีเราจะต้องเจอกับข้อจำกัดมากมาย ทรัพยากรทั้งเงินและเวลา ในความเป็นจริงถึงมีเงินมากเท่าไรก็ไม่เพียงพอ หากขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสม
สุดท้าย ผอ. ฝากเบอร์โทรไว้ด้วยใครอยากได้ก็หลังไมค์นะครับ 555 ชอบผอ.คนนี้จัง

พักครึ่ง

ช่วงบ่ายพวกเราเดินทางไปต่อที่โรงเรียนห้วยไร้สามัคคี ผมมาถึงก็เข้าไปฟังบรรยาย Introduction จากผอ.โรงเรียนห้วยไร้สามัคคี (ผอ. หน้าเด็กมาก นึกว่าเป็นรองผอ.)ช่วงนี้ผมหลับ 555 ผอ. ก็สอนพวกเราเกี่ยวกับวิธีการเข้าไปสังเกตห้องเรียน ว่าพวกเราต้องดูอะไรบ้าง จดอย่างไร ก่อนจะออกไป ผอ. ได้ทิ้งปริศนาเกี่ยวกับ ธงชาติในหอประชุม ตู้หนังสือท้ายหอประชุม ป้ายชื่อที่อยู่ที่พื้นหอประชุม ซึ่งจะมาตอบในตอนท้าย

ขนมอร่อยมากอยากกินอีก อิอิ
กลับมาถึงก็มาทานขนมอร่อยมาก reflection กันว่าแต่ละคนไปดูห้องมาเป็นอย่างไรบ้าง พอดีห้องที่ผมไปสังเกต จัดการเรียนการสอนแบบปกติ สอนตาม Slide เลยไม่ได้มีประเด็นอะไรมากนัก เป็นการเรียนรู้แบบ Teacher center คือยึดหลักครูเป็นคนเลือกความรู้ที่จะมอบให้

แต่ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ได้มีโอกาส เข้าไปสอนแทนครูในวิชานั้นเพราะครูไม่มาสอน และได้เก็บ Feedback ครูที่พวกเขาอยากเรียนด้วยเป็นอย่างไร บอกกระดาษให้พร้อมสายตาเหมือนบอกกับพี่ที่อยู่ในห้องนั้นเลยว่า "พี่ครับ/ค่ะ พี่เป็นครูแบบนี้นะ"

สุดท้ายผอ.ที่นี้สอนอะไรพวกเราไว้เยอะมาก ผอ.แสดงให้เห็นว่าเขาศึกษาเยอะมาก ตอบคำถามของ Fellows ด้วยข้อมูลที่มีจริง ขอแยกเป็นข้อๆอีกเช่นเคยมีดังต่อไปนี้

  1. ผอ. พูดถึงคำสองคำคือ Big idea และ Concept ท่านถามเราว่า 
    1. ครูไทยเอารูปความมาให้นักเรียนดู และบอกว่านี้คือควาย ใช่ Concept ไหม?
    2. ครูเวียดนามจูงความมาในนักเรียนเห็น และบอกว่านี้คือควาย ใช่ Concept ไหม?
    3. มีรูปสัตว์มากมายและให้เด็กคัดแยกกลุ่ม และสอนว่าหนึ่งในนั้นคือควาย ใช่ Concept ไหม? ข้อ 1,2 คือ Big idea ข้อ 3 คือ Concept เข้าใจไหมครับ 555
  2. ปริศนาภายในหอประชุม จะเห็นความน่าทึ่งว่าเวลาเคารพธงชาติเราทำอะไรได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ? เป็นอย่างไรลองอ่านดูตามลำดับเวลาต่อไปนี้
    1. ธงชาติที่อยู่ในหอประชุม จริงๆแล้วคือการเคารพธงชาติในร่ม นักเรียนทุกคนจะต้องมายืนที่ป้ายชื่อ ที่มีชื่อ เบอร์ติดต่อผู้ปกครองเรียบร้อย ใครหายไปก็สามารถโทรตามได้เลย 
    2. ที่นี้มีหนังสืออยู่ด้านหลัง ผอ. จะอ่านหนังสือเป็นตัวอย่างให้เด็กดูระหว่างรอเข้าแถวเสมอ เด็กจะรักการอ่านเอง และเกรงใจไม่ส่งเสียงดัง รบกวน
    3. หลังเคารพธงชาติจะมีนักเรียนมาเล่นกีต้าเป็นเพลง เพื่อขอบคุณพระเจ้า (ที่นี้นับถือศาสนาคริสต์)
    4. หลังจากนั้นจะนั่งสมาธิ ให้เด็กกำหนดจิตไล่แสงไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และมี Self-talk กับตัวเอง
    5. ตามด้วยการอ่านหนังสือ เด็กจะไปหยิบหนังสือที่ตัวเองชอบด้านหลังมาอ่าน เด็กที่นี้อ่านหนังสือกันเยอะมาก ถึงกับถาม ผอ. ว่าหนังสือใหม่มาหรือยัง (พวกเราก็เอามาบริจาคกันคนละ 2 เล่ม)
    6. คุณครูออกมาเล่าหน้าห้องประชุม บางครั้งก็เป็นคลิปดีๆ
  3. ทุกวิชามีปลายทางของมัน คณิตศาสตร์ >> สอบ Logic, สุขศึกษา >> สอนเรื่องการดูแลสุขอนามัย สุขศึกษาในไทยเด็กที่ได้เกรด 4 ยังคงฟันพุ น้ำหนักเกินอยู่เลย ผอ. ยกตัวอย่างในสิงค์โปว่าที่นั้นเขาไม่มีชั่วโมงเรียนสุขศึกษา แต่เมื่อถึงเวลาสอบทุกคนต้องทดสอบร่างกาย และจะให้คะแนนตามนั้น ทำให้เด็กที่นั้นต้องออกกำลังกายทุกวัน
  4. การแนะแนวที่ดีที่สุดคือให้เขาไปหาอาชีพนั้นเลย อยากเป็นช่างตัดผม พาเขาไปดูและคุยกับช่างตัดผม เขาอาจจะรู้ตัวว่าไม่อยากทำแล้วเพราะต้องยืนทั้งวัน
  5. การจะตักเตื่อนใครแนะนำให้ยึดหลัก "จับถูก 4 ครั้งจับผิด 1 ครั้ง"
กลับมา Session ในช่วงเย็นพี่จอยเปิด Clip : Dick & Rick Hoyt ให้พวกเราดู (ไม่แน่ใจว่าคลิปเดียวกันไหม) เกี่ยวกับพ่อที่ฝึกฝนร่างกายตัวเอง เพื่อลงแข่ง Iron man และพาลูกที่พิการไปในสนามด้วย เพราะลูกสื่อสารบอกว่าอยากไป


สุดท้ายฝากเรื่อง Roger Bannister ไว้สำหรับทุกคน Roger เป็นนักวิ่งที่ทำในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยนั้นบอกว่าเป็นไปไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันไว้แล้วว่า ขีดจำกัดของมนุษย์ไม่สามารถวิ่ง 1 mile ได้เร็วกว่า 4 นาที แต่ในวันนั้น Roger สามารถวิ่ง 1 mile ได้ภายใน 3 นาที่ 59.4 วินาที และที่มากไปกว่านั้นก็มีคนทำสำเร็จและไวกว่าได้เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นก็มีนักศึกษาด้วย

ขีดจำกัดของมนุษย์มีอยู่จริงหรือ?
ขอบคุณรูปสวยๆ จากพี่ทีมงาน TFT

No comments:

Post a Comment